น้ำหอมไทยในปัจจุบัน

น้ำหอมไทย



   น้ำหอมไทยที่จะพูดถึง ณ ที่นี้ไม่ใช่นำ้หอมเคมี(perfume)แต่อยากใดแต่จะเป็นการพูดถึงน้ำหอมที่มาจากพืขสมุนไพรไทยนั้นเอง

    น้ำหอมไทย ฉบับโบราณ มีชื่อเรียกว่า "น้ำปรุง" จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องหอมไทยที่มีมาแต่โบราณ เป็นหนึ่งในบรรดาเครื่องหอมไทย ที่หญิงชาววัง นิยมนำมาประพรมตัวให้หอมกรุ่นมีทั้ง น้ำอบไทย แป้งร่ำ แป้งพวง น้ำปรุง (น้ำหอมไทย)  น้ำดอกไม้สด   เป็นต้น  เครื่องหอมไทยเหล่านี้ จัดได้ว่าเป็นของประจำกายหญิงชาววัง ประจำม้าเครื่องแป้ง หรือ ตั่งทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ใช้สำหรับการวางกระจกบานเล็กๆ พร้อมเครื่องประทินโฉมที่สาวชาววังทุกคนต้องมีประจำเรือน

  โดยในตอนช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เป็นช่วงที่ น้ำปรุง ได้รับความนิยมสูงสุด  ในแต่ละพระตำหนักสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5  ขึ้นชื่อในเรื่องของงานฝีมือ  ทั้งงานดอกไม้สด แกะสลัก อาหารคาวหวาน รวมไปถึง น้ำอบน้ำปรุง ซึ่งแต่ละพระตำหนักก็จะมีสูตรน้ำปรุง และเครื่องหอมเฉพาะ ต่างกลิ่น ต่างหอมรัญจวนใจแตกต่างกันออกไป  แต่กรรมวิธีในการปรุงจะคล้ายๆ กัน


น้ำปรุงน้ำหอมของไทย  จากอดีตถึงปัจจุบัน จึงมีสารพัดกลิ่นให้เลือกทั้งกลิ่นดอกไม้รวม 
กลิ่นดอกไม้ไทย กลิ่นเปลือกไม้หอม  กลิ่นผลไม้ หรือแม้แต่กลิ่นดอกไม้จากต่างประเทศ เพราะในสมัยปัจจุบัน มีวิวัฒนาการที่ทันสมัย ในกรรมวิธีการสกัดกลิ่นดอกไม้  ให้ได้กลิ่นมากขึ้น  ทำให้น้ำปรุงในสมัยปัจจุบันมีกลิ่นให้เลือกหลากหลาย    และมีกรรมวิธีในการผลิตก็รวดเร็วมากขึ้นเช่นกัน    แต่สำหรับน้ำปรุงแบบไทยแท้แต่โบราณ  ก็ยังคงได้รับการสืบสานอยู่  แม้ว่ากรรมวิธีการผลิตจะค่อนข้างซับซ้อนและพิถีพิถัน  แต่ทั้งนี้เหตุผลก็เพื่อให้คงคุณภาพของน้ำปรุงที่หอมติดทน ทั้งวันโดยกรรมวิธีแบบโบราณ เช่น  กระบวนการคัดเลือกดอกไม้สด เพื่อนำมาทำน้ำปรุง จะต้องเลือกเก็บดอกไม้สดในบางช่วงเวลาเท่านั้น  เพื่อให้ได้คุณภาพของกลิ่นที่ดีที่สุด    วิธีการหมักสำหรับบางแห่งจะใช้เวลาในการหมักน้ำปรุงกันอย่างต่ำ 6-12 เดือน  ก่อนที่จะนำไปใช้งาน ทั้งนี้ก็เพื่อให้กลิ่นดอกไม้สดสารพัดสายพันธุ์เข้ากันเป็นอย่างดี และคงคุณภาพของกลิ่นที่ติดทนทาน

หลังจากที่เราได้รู้เรื่องขอน้ำปรุงน้ำหอมของไทยแล้ว เรามาทำความรู้จักสรรพคุณของมันด้วยเพื่อใช้กลิ่นและประโยช์นของมันให้ถูกต้องเหมาะสม
การบำบัดด้วยกลิ่นนั้น ขึ้นชื่อว่ากลิ่นก็คือต้องดม ตัวอย่างหนึ่งก็คือ เพียงแค่ลองสูดดมเครื่องหอมบางอย่างเข้าไปตรงๆเท่านั้น หลายคนคงเคยดมกลิ่นอันหอมหวลของกุหลายหรือดอกไม้ประเภทต่างๆ นั้นก็คือวิธีง่ายๆในการบำบัดด้วยกลิ่น บางชนิดก็ทำให้เรามีอารมณ์หรือความรู้สึกที่สงบลง หรืออาจจะหดหู่ลงไปเลยก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่ว่าเราสูดดมกลิ่นใดเข้าไป กลิ่นบางกลิ่นนั้นสามารถมีผลให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นได้ และนั่นแปลว่าร่างกายเราพร้อมจะต่อสู้กับโรคร้ายได้มากขึ้น เพราะเม็ดเลือดขาวคือสิ่งที่ดักจับเชื้อโรคต่างๆที่หลุดเข้าไปในร่างกาย


 ยาที่เราผลิตขึ้นมาในห้องทดลองและวางขายกันเกลื่อนในตลาดนั้นต่างกับเครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ ยาสังเคราะห์ทุกประเภทนั้นผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขหรือเยียวยาโรคใดโรคหนึ่งเป็นการเฉพาะเท่านั้น ไม่สามารถรักษาโรคได้แบบครอบจักรวาล ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่หายจากการเจ็บป่วยนั้น เราก็ต้องพึ่งพายาชนิดนั้นตลอดไป และนี่คือจุดอ่อน เพราะร่างกายจะพยายามปรับตัวตามธรรมชาติให้เข้ากับยาชนิดนั้น เพราะ ร่างกายกับยามันไม่ได้ทำงานเข้าขากันเสมอไป ร่างกายจึงต้องปรับตัวบ้างเพื่อยอมรับยานั้น ประสิทธิภาพในการรักษาด้วยยานั้นจึงอาจจะไม่เป็นไปเช่นที่หวัง อาการดื้อยาหรือแพ้ยาจึงเห็นได้เสมอจากการใช้ยาหลายชนิดแต่สำหรับเครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดนั้นจะทำงานด้วยดีเสมอกับร่างกาย และการทำงานของน้ำมันสกัดนั้นไม่ได้เข้ามาเพื่อบีบบังคับร่างกาย แต่มันจะเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้ทำงานกระฉับกระเฉงขึ้นมีความสมดุลในร่างกายมากขึ้นซึ่งเท่ากับว่ามันเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ดังนั้น เครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดจึงทำงานได้แบบครอบจักรวาลมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับยาตัวใดตัวหนึ่ง
 บางคนอาจจะสงสัยว่า เมื่อสูดดมเอาน้ำมันสกัดเหล่านี้เข้าไปแล้ว มันจะตกค้างอยู่ในร่างกายมากน้อยและนานเพียงใด เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเพราะหลังจากที่มันทำหน้าที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว สารสกัดเหล่านี้จะถูกขับออกจากร่างกายตามปกติ เช่น ซึมออกมาตามผิวหนังบ้าง ออกมาพร้อมกับลมหายใจบ้าง และบางส่วนก็จะถูกขับออกมาโดยไตเช่นเดียวกับของเสียอื่นๆ (คือปะปนมากับปัสสาวะ)
 ข้อดีอีกประการหนึ่งของน้ำมันสกัดก็คือ น้ำมันสกัดหรือเครื่องหอมนั้น แม้ว่าจะช่วยเยียวยาอาการทางกายบางอย่างได้แล้ว มันยังช่วยปรุงแต่งอารมณ์ของเราให้ดีขึ้นด้วย สิ่งนี้เรียกว่าเป็นผลพลอยได้ของการใช้เครื่องหอม นอกจากนั้น การใช้เครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดต่างๆนั้น ถือว่าเป็นกรรมวิธีที่ไม่ “รุกราน” ส่วนอื่นๆของร่างกาย ที่เรียกว่าไม่รุกรานนั้นหมายความว่า เครื่องหอมไม่สร้างผลข้างเคียงที่ไม่พึงปราถนาต่อร่างกาย อันต่างไปจากยาแผนปัจจุบันที่ได้ผลในการรักษาอย่างหนึ่ง แต่ก็สร้างความเสียหายต่อร่างกายในส่วนอื่น (เช่น งานวิจัยล่าสุดที่เชื่อว่าการใช้ยาแก้ปวดหัวบางชนิดมากเกินไป จะทำให้ตับอ่อนแอลงเป็นต้นไป) สรุปก็คือ เครื่องหอมนั้นไม่ทำให้กระบวนการต่างๆของร่างกายต้องเสียหาย มันสามารถเข้าไปทำงานกับร่างกายตามภาวะธรรมชาติได้ และที่แตกต่างไปจากยาแผนปัจจุบันอีกประการหนึ่งก็คือน้ำมันสกัดหรือเครื่องหอมนั้นอาจเข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธี เช่น การสูดดม  การผสมในอ่างน้ำแล้วลงไปนอนแช่ หรือใช้ประกอบการนวดเฟ้นร่างกาย ทั้งสามวิธีนี้คือ กรรมวิธีที่น้ำมันสกัดและกลิ่นหอมของมันสามารถถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ ในขณะที่ยาแผนปัจจุบัน สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยการฉีดและการกินเท่านั้น ซึ่งในส่วนของการกิน (ยา) นั้นถือว่าเป็นวิธีที่ได้ผลน้อยที่สุด เพราะร่างกายดูดซับยาได้ไม่ดีเท่าการนวดหรือนอนแช่ในอ่างน้ำ
เห็นข้อดีของมันไปแล้ว ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะดีการที่จะใช้อะไรให้เกิดประโยชน์เราก็ต้องมีการใช้ที่ถูกต้อง
 พึงระลึกว่าน้ำมันสกัดทุกชนิดนั้นเป็นสารเข้มข้น และมีองค์ประกอบทางเคมีอยู่ในตัวของมันเอง ดังนั้น การใช้น้ำมันสกัดบ่อยเกินไป หรือใช้ผิดเวลาจะทำให้มีผลเสียหายได้เช่นกัน 



สุดท้ายนี้สมุนไพรเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ในหลายด้านไม่ได้มีแค่ประโยชน์จากกลิ่นแต่ยังมีในด้านของตัวมันเอง ใบ ดอกเปลือง เนื้อ ผล เกือบทุกอย่างใช้ประโยชน์ได้ และในปัจจุบันยังเป็นสิ่งที่กำลังเติบโตในตลาดโลกอย่างมากเพราะ มนุษย์โลก หันมาดูแลตัวเอง ลดการใช้สารเคมีลง และใช้สารจากธรรมชาติเพิ่มขึ้น ดังนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี ที่ประเทศไทยของเรา มีภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของสมุนไพรและมีความรู้ในเรื่องนี้มาแต่โบราณ ดังนั้นคนรุ่นใหม่ก็ควรเก็บ อนุรักษ์สมุนไพรไทยของเราไว้ให้คงอยู่ต่อๆไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้