ชนิดของน้ำหอม

ชนิดของน้ำหอม

น้ำมันสกัด (Essensial Oils)
ความหมายของการบำบัดรักษาด้วยเครื่องหอมนั้น ก็หมายความตรงๆว่าเอากลิ่นต่างๆมารักษาอาการทางการ สมอง หรืออารมณ์ แต่สิ่งที่จะก่อให้เกิดกลิ่นนั้นก็คือ น้ำมันต่างๆที่เกิดตามธรรมชาติ น้ำมันเช่นว่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติแล้ว เช่น สะสมอยู่ตามราก กิ่งก้าน ใบ เมล็ด เปลือก หรือ ฯลฯ ของต้นไม้ หรือดอกไม้นานาพันธุ์ แต่เมื่อจะเอามาใช้ประโยชน์ก็จะต้องหาวิธีสกัดเอาน้ำมันตามธรรมชาตินั้นออกมา น้ำมันที่ได้ออกมานี้จึงเรียกกันทั่วไปว่า น้ำมันสกัด
น้ำมันสกัดที่มีอยู่ตามธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อการบำบัดรักษามาก น้ำมันจากพืชเหล่านี้ถือเป็นอินทรีย์สาร และบางชนิดนั้นประกอบขึ้นด้วยสารประกอบต่างๆได้ถึง 500 ประเภท แต่หากจะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆแล้วก็จะมี ฟีนอล (phenol) แอลกอฮอล์ เอสเตอร์ (ester) คีโตนส์ (ketones) แอลดีไฮดส์ (aldehydes) และเทอเพนส์ (terpenes) แม้ว่าสารต่างๆที่ว่ามานี้จะมีอยู่ในพืชพันธุ์ตามธรรมชาติแล้ว แต่คนเราก็สามารถสังเคราะห์สารเหล่านี้ขึ้นได้ในห้องทดลองเช่นกัน แต่สารที่เกิดจากห้องทดลองนั้นมักจะมีผลข้างเคียงมากกว่าสารตัวเดียวกันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและยิ่งเมื่อเอาสารสกัดหลายๆตัวที่มาจากการสังเคราะห์มารวมกันแล้ว สารเหล่านั้นจะรวมตัวกันไม่ได้ดี หรือไม่ก็ทำงานไม่ได้ดังหวัง อันจะต่างไปจากสารที่เกิดจากธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะสารสกัดตามธรรมชาตินั้น ไม่ว่าจะเอามารวมตัวกันอย่างไรก็ยังทำงานได้อย่างดี และไม่เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงแต่อย่างใด เรียกได้ว่าธรรมชาตินั้นก็ยังเหนือกว่ามนุษย์อยู่ดี
เมื่อพูดถึงน้ำมันสกัดและการบำบัดรักษา คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าต้องมีกรรมวิธีอื่นที่ยุ่งยากในการนำสารสกัดตามธรรมชาติเหล่านี้มาใช้อย่างถูกต้องผลลัพธ์ที่ดีจึงจะเกิดขึ้น แต่ความจริงแล้ว น้ำมันสกัดหรือกลิ่นที่มาจากน้ำมันสกัดนี้ทำงานโดยตัวของมันเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดเลย น้ำมันสกัดหรือกลิ่นต่างๆนั้นเมื่อทำงานแล้วมันจะเกิดผลต่อเซลล์ของร่างกาย ผลของมันจึงสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งทางกายภาพที่จับต้องได้ และทางอารมณ์หรือความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้
เนื่องจากน้ำมันสกัดนั้นเป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติ คือจากพืชพันธุ์ต่างๆ ดังนั้น ธรรมชาติจึงเปรียบเสมือนผู้ปรุงแต่งน้ำมันเหล่านั้น กล่าวคือ น้ำมันที่มีอยู่ในต้นพืชและดอกไม้ต่างๆนั้นจะดีหรือไม่เพียงใด ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศและสถานที่ปลูก เช่น ความสูงของพื้นที่ที่เพาะปลูก ความร้อน ความชื้น สภาพของดิน ฯลฯ นั่นหมายความว่าน้ำมันสกัดมีสภาพที่ไม่แตกต่างไปจากองุ่นที่ใช้ผลิตไวน์นัก เพราะแม้ว่าจะเป็นองุ่นพันธ์เดียวกัน ปลูกโดยคนๆเดียวกัน ในสถานที่เดียวกันแต่สภาพอากาศของแต่ละปีจะส่งผลต่อรสชาติขององุ่น เมื่อรสชาติขององุ่นเปลี่ยนไป  รสชาติของไวน์ก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน คุณภาพของน้ำมันสกัดชนิดหนึ่งย่อมแปรเปลี่ยนไปได้ตามสภาพดินฟ้าอากาศ ลักษณะการเก็บเกี่ยว การจัดเก็บก่อนที่จะนำพืชนั้นๆมาสกัดเอาน้ำมัน ตลอดจนกรรมวิธีที่ใช้ในการสกัดน้ำมัน ฯลฯ ดังนั้นผู้ที่ทำมาค้าขายเกี่ยวกับน้ำมันสกัดนั้น ควรจะสอบถามผู้ผลิตให้รู้ชัดว่า น้ำมันสกัดแต่ละประเภทนั้นมาจากแหล่งใด และขั้นตอนการเก็บรักษาและการจัดส่งนั้นเป็นเช่นไร
น้ำมันสกัดและการบำบัดรักษามักจะถูกหยิบขึ้นมาพูดพร้อมๆกัน ทำให้หลายคนเข้าใจไปว่า น้ำมันสกัดต่างๆนั้นถูกใช้เป็น “ยา” เท่านั้น แต่จริงๆแล้วน้ำมันสกัดนั้นถูกนำไปใช้ในวงการอาหารและเครื่องสำอางค์อย่างมากด้วย เช่น
  • หลายครั้งที่เราได้รับใบสั่งยา ยาบางประเภทจะเป็นส่วนผสมของสารสกัดตามธรรมชาติ แม้ว่าบางครั้ง สารสกัดประเภทนั้นจะเป็นสิ่งที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาในห้องทดลองก็ตาม
  • กลิ่น รสชาติ และสารกันบูดเน่าเสียต่างๆที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มบางประเภทนั้น แท้จริงคือน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ
  • เครื่องสำอางค์ประเภทประทินผิว และเครื่องสำอางค์ที่ชอบโฆษณาว่าช่วยลดความเหี่ยวย่นนั้น แท้ที่จริงก็คือเครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากธรรมชาติเช่นกัน
  • น้ำหอม หัวใจของน้ำมันก็คือกลิ่น และกลิ่นของน้ำหอมจำนวนมากคือสารที่สกัดมาจากธรรมชาติ และทุกคนคงยอมรับว่า กลิ่นของน้ำหอมนั้นเพิ่มหรือสร้างสรรค์อารมณ์และความรู้สึกได้ดีเพียงใด
น้ำมันสกัดต่างๆทำงานได้อย่างไร
คำว่า “การบำบัดด้วยกลิ่น” นั้นอาจจะให้ความรู้สึกว่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ความจริงแล้ว การบำบัดด้วยกลิ่นนั้นอาจทำได้ง่ายๆอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวอย่างหนึ่งก็คือ เพียงแค่ลองสูดดมเครื่องหอมบางอย่างเข้าไปตรงๆเท่านั้น หลายคนคงเคยดมกลิ่นอันหอมหวลของกุหลายหรือดอกไม้ประเภทต่างๆ นั้นก็คือวิธีง่ายๆในการบำบัดด้วยกลิ่น เป็นแต่เพียงว่าเราไม่เคยคิดถึงเท่านั้น บางครั้งเมื่อสูดดมแล้วอารมณ์ของเราจะเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย เช่นอาจจะพุ่งพล่านมากขึ้น หรือคึกคะนองนั่นเอง แต่กลิ่นบางชนิดก็กลับทำให้เรามีอารมณ์หรือความรู้สึกที่สงบลง หรืออาจจะหดหู่ลงไปเลยก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่ว่าเราสูดดมกลิ่นใดเข้าไป กลิ่นบางกลิ่นนั้นสามารถมีผลให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นได้ และนั่นแปลว่าร่างกายเราพร้อมจะต่อสู้กับโรคร้ายได้มากขึ้น เพราะเม็ดเลือดขาวคือสิ่งที่ดักจับเชื้อโรคต่างๆที่หลุดเข้าไปในร่างกาย
ยาที่เราผลิตขึ้นมาในห้องทดลองและวางขายกันเกลื่อนนั้นต่างกับเครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ ยาสังเคราะห์ทุกประเภทนั้นผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขหรือเยียวยาโรคใดโรคหนึ่งเป็นการเฉพาะเท่านั้น ไม่สามารถรักษาโรคได้แบบครอบจักรวาล ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่หายจากการเจ็บป่วยนั้น เราก็ต้องพึ่งพายาชนิดนั้นตลอดไป และนี่คือจุดอ่อน เพราะร่างกายจะพยายามปรับตัวตามธรรมชาติให้เข้ากับยาชนิดนั้น พูดง่ายๆก็คือ ร่างกายกับยามันไม่ได้ทำงานเข้าขากันเสมอไป ร่างกายจึงต้องปรับตัวบ้างเพื่อยอมรับยานั้น ประสิทธิภาพในการรักษาด้วยยานั้นจึงอาจจะไม่เป็นไปเช่นที่หวัง อาการดื้อยาหรือแพ้ยาจึงเห็นได้เสมอจากการใช้ยาหลายชนิดแต่สำหรับเครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดนั้นจะทำงานด้วยดีเสมอกับร่างกาย และการทำงานของน้ำมันสกัดนั้นไม่ได้เข้ามาเพื่อบีบบังคับร่างกาย แต่มันจะเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้ทำงานกระฉับกระเฉงขึ้น มีความสมดุลในร่างกายมากขึ้น ซึ่งเท่ากับว่ามันเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ดังนั้น เครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดจึงทำงานได้แบบครอบจักรวาลมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับยาตัวใดตัวหนึ่ง
บางคนอาจจะสงสัยว่า เมื่อสูดดมเอาน้ำมันสกัดเหล่านี้เข้าไปแล้ว มันจะตกค้างอยู่ในร่างกายมากน้อยและนานเพียงใด เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเพราะหลังจากที่มันทำหน้าที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว สารสกัดเหล่านี้จะถูกขับออกจากร่างกายตามปกติ เช่น ซึมออกมาตามผิวหนังบ้าง ออกมาพร้อมกับลมหายใจบ้าง และบางส่วนก็จะถูกขับออกมาโดยไตเช่นเดียวกับของเสียอื่นๆ (คือปะปนมากับปัสสาวะ)
ข้อดีอีกประการหนึ่งของน้ำมันสกัดก็คือ น้ำมันสกัดหรือเครื่องหอมนั้น แม้ว่าจะช่วยเยียวยาอาการทางกายบางอย่างได้แล้ว มันยังช่วยปรุงแต่งอารมณ์ของเราให้ดีขึ้นด้วย สิ่งนี้เรียกว่าเป็นผลพลอยได้ของการใช้เครื่องหอม นอกจากนั้น การใช้เครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดต่างๆนั้น ถือว่าเป็นกรรมวิธีที่ไม่ “รุกราน” ส่วนอื่นๆของร่างกาย ที่เรียกว่าไม่รุกรานนั้นหมายความว่า เครื่องหอมไม่สร้างผลข้างเคียงที่ไม่พึงปราถนาต่อร่างกาย อันต่างไปจากยาแผนปัจจุบันที่ได้ผลในการรักษาอย่างหนึ่ง แต่ก็สร้างความเสียหายต่อร่างกายในส่วนอื่น (เช่น งานวิจัยล่าสุดที่เชื่อว่าการใช้ยาแก้ปวดหัวบางชนิดมากเกินไป จะทำให้ตับอ่อนแอลงเป็นต้นไป) สรุปก็คือ เครื่องหอมนั้นไม่ทำให้กระบวนการต่างๆของร่างกายต้องเสียหาย มันสามารถเข้าไปทำงานกับร่างกายตามภาวะธรรมชาติได้ และที่แตกต่างไปจากยาแผนปัจจุบันอีกประการหนึ่งก็คือน้ำมันสกัดหรือเครื่องหอมนั้นอาจเข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธี เช่น การสูดดม  การผสมในอ่างน้ำแล้วลงไปนอนแช่ หรือใช้ประกอบการนวดเฟ้นร่างกาย ทั้งสามวิธีนี้คือ กรรมวิธีที่น้ำมันสกัดและกลิ่นหอมของมันสามารถถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ ในขณะที่ยาแผนปัจจุบัน สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยการฉีดและการกินเท่านั้น ซึ่งในส่วนของการกิน (ยา) นั้นถือว่าเป็นวิธีที่ได้ผลน้อยที่สุด เพราะร่างกายดูดซับยาได้ไม่ดีเท่าการนวดหรือนอนแช่ในอ่างน้ำ
การสกัดน้ำมัน
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นคือ คำอธิบายย่อๆว่าน้ำมันสกัดหรือเครื่องหอมนั้นมีผลดีต่อร่างกายอย่างไร และมันทำงานอย่างไร คราวนี้ก็มาถึงกรรมวิธีการสกัดน้ำมันออกจากพืชพันธุ์ธรรมชาติต่างๆ ซึ่งก็จะขอกล่าวย่อๆเช่นกัน
กรรมวิธีในการสกัดน้ำมันที่มีอยู่ตามพืชพันธุ์ต่างๆนั้น ทำได้หลายวิธี และแต่ละวิธีก็มีความเหมาะสมกับพืชพันธุ์ต่างชนิดกันไป เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาวควรใช้วิธีบีบคั้นเอาน้ำและน้ำมันของมันออกมา แต่หากเป็นดอกมะลิ กุหลาบก็ควรใช้วิธีการอื่น แต่โดยสรุปแล้ววิธีการสกัดนั้นอาจทำได้ด้วยการกลั่น การบีบหรือคั้นการใช้ก๊าซบิวเทนเหลว หรือคาร์บอนไดออกไซด์เหลวช่วยในการสกัด เป็นต้น
ควรจะเลือกน้ำมันสกัดชนิดใด
ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ไม่ว่ากรรมวิธีสกัดน้ำมันออกจากพืชพันธุ์ต่างๆนั้นจะใช้วิธีใดก็ตาม แต่ทุกวิธีล้วนแต่ยุ่งยากซับซ้อนด้วยกันทั้งสิ้นและน้ำมันสกัดบางชนิดนั้นกว่าจะได้มาสักหยดหนึ่งจำต้องใช้พืชหรือดอกของมันกองพะเนินเทินทึก ขณะเดียวกันน้ำมันสกัดบางอย่างก็ราคาแสนแพง เพราะพืชที่เป็นแหล่งกำเนิดนั้นอาจเป็นชนิดที่หายากยิ่ง
ตัวอย่างเช่น น้ำมันกุหลาบนั้น กว่าจะสกัดออกมาได้สัก 1 กิโลกรัมจำต้องใช้กลีบกุหลายมากถึง 2 ตัน! อีกทั้งต้องเป็นกลีบกุหลาบสดๆด้วย ดังนั้นหากเราจะเอาน้ำมันกุหลาบไปใช้เล่นๆก็ย่อมไม่คุ้มค่า หรือในกรณีของน้ำมันมะลิ (ซึ่งจะต้องสกัดออกมาจากดอกมะลิ)นั้น การเก็บดอกมะลิมาเพื่อสกัดเอาน้ำมันก็ต้องเก็บด้วยการเด็ดด้วยมือ จะใช้เครื่องมืออื่นใดไม่ได้ อักทั้งควรจะเด็ดช่วงเย็นเพราะจะเป็นเวลาที่ปริมาณน้ำมันในกลีบมะลิมีมากที่สุด นอกจากนี้ ดอกมะลินั้นก็ควรจะมีอายุไม่มากไปกว่า 1 วันด้วย หรืออีกกรณีก็เช่น น้ำมันสกัดจากต้นลาเวนเดอร์ปริมาณ 10 กิโลกรัมของน้ำมันลาเวนเดอร์นั้น หมายถึงต้องไปเอาต้นลาเวนเดอร์ถึง 100 กิโลกรัมมาเข้ากระบวนการผลิต โดยสรุปก็คือ ราคาของน้ำมันสกัดนั้นคือสิ่งที่บ่งบอกถึงกรรมวิธีการสกัด และต้นทุนของมันนั่นเอง
ดังนั้น เมื่อจะต้องเสียเงินจำนวนมากเพื่อเอาน้ำมันสกัดมาเยียวยาตัวเองแล้วเราควรจะให้ความสนใจอย่างมากต่อแหล่งผลิต กรรมวิธีการผลิต ตลอดจนการจัดเก็บ การขนส่ง อีกทั้งควรจะแน่ใจด้วยว่าน้ำมันสกัดเหล่านั้นไม่ได้ถูกผสมให้เจือจางด้วยความเห็นแก่ตัวของผู้ผลิตบางราย และก็ด้วยการเจือจางน้ำมันสกัดนี้เอง ที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งเข้าใจผิดว่า การบำบัดร่างกายและสมองด้วยเครื่องหอมหรือน้ำมันสกัดนั้นไม่ได้ผลจริง และสิ่งสุดท้ายก็คือ การใช้น้ำมันสกัดแต่ละประเภทนั้นจำต้องใช้ให้ถูกต้องตามวิธีการที่ระบุเสมอ
หากจะเริ่มใช้น้ำมันสกัดเพื่อการบำบัดตัวเองแล้ว พึงระลึกถึงข้อเตือนใจต่อไปนี้
  • น้ำมันสกัดทุกชนิดควรจะบรรจุอยู่ในขวดอย่างดี และสีของขวดนั้นควรจะเป็นสีน้ำเงิน หรือเหลืองอำพัน (เหลืองเข้ม) เพื่อจะได้ช่วยป้องกันการเสื่อมคุณภาพจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต
  • ต้องหัดดมกลิ่นของน้ำมันสกัดแต่ละประเภทไว้ให้ดี ซึ่งกว่าจะเริ่มคุ้นเคยและมีความรู้ที่ถูกต้องก็อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี และพึงระลึกด้วยว่า กลิ่นของน้ำมันสกัดประเภทเดียวกัน แต่ต่างปี หรือต่างกันในแหล่งผลิตย่อมให้กลิ่นหอมที่แตกต่างกันไปด้วย
  • น้ำมันสกัดชนิดใดที่มีกรรมวิธีการผลิตที่ยุ่งยาก ย่อมมีราคาแพงตามไปด้วย น้ำมันกุหลาบและน้ำมันมะลิ จะมีราคาสูงกว่าน้ำมันสกัดอื่นๆ และน้ำมันแซนเดิลวู้ด จะมีราคาสูงกว่าน้ำมันลาเวนเดอร์ราว 2 – 3 เท่าตัว
  • อย่าซื้อสินค้าเพียงเพราะเชื่อในชื่อเสียง หรือการโฆษณาของผู้ผลิต
  • ก่อนจะตัดสินใจซื้อน้ำมันสกัดใด ควรขอกลิ่นตัวอย่าง และข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากผู้ผลิตเสียก่อน
วิธีเก็บน้ำมันสกัด
1. เก็บน้ำมันสกัดไว้ในขวดสีน้ำเงิน หรือเหลืองอำพันเสมอ มิฉะนั้นน้ำมันสกัดจะเสื่อมคุณภาพเพราะรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต ซึ่งโดยทั่วไปผู้ผลิตก็จะบรรจุไว้ในขวดเช่นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นอย่าเปลี่ยนน้ำมันสกัดไปใส่ขวดอื่นเพียงเพราะชอบรูปร่างของขวดอื่น
2. เก็บขวดน้ำมันสกัดให้พ้นจากแสงแดด ความร้อน และความชื้น
3. ปิดจุกขวดให้แน่นเสมอ อย่าเปลี่ยนจุกขวดเป็นแบบชนิดที่หยดน้ำมันออกมาได้ (เช่นจุกขวดยาหยอดตา) เพราะแม้จุกขวดนั้นจะมีรูเล็กเท่าใดก็ตาม น้ำมันสกัดนั้นจะระเหยออกมาได้ อย่าเปลี่ยนจุกขวดเป็นจุกชนิดที่เป็นยาง เพราะนานวันเข้ายางนั้นจะเสื่อมและเศษยางจะหล่นลงไปผสมในน้ำมันสกัดได้
ข้อพึงระวังในการใช้น้ำมันสกัด
พึงระลึกว่าน้ำมันสกัดทุกชนิดนั้นเป็นสารเข้มข้น และมีองค์ประกอบทางเคมีอยู่ในตัวของมันเอง ดังนั้น การใช้น้ำมันสกัดบ่อยเกินไป หรือใช้ผิดเวลาจะทำให้มีผลเสียหายได้เช่นกัน ประเภทของน้ำมันสกัดต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ครบประเภทของน้ำมันสกัดทั้งหมด และในที่นี้จะขอยกมาเฉพาะส่วนที่คุ้นเคยกับคนไทยเท่านั้น
1. น้ำมันสกัดจากพืชพันธุ์ที่ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป เช่น น้ำมันสกัดจากชีดาร์ ใบซินามอน ขิง ยูคาลิปตัส
2. น้ำมันสกัดที่ไม่ควรใช้ก่อนออกแดด เช่น น้ำมันสกัดจากขิง มะนาว เบอร์กามอท ผลไม้ตระกูลส้ม
3. ผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่ควรจะใช้น้ำมันสกัดใดๆ ยกเว้นแต่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับการบำบัดด้วยกลิ่น
4. น้ำมันสกัดบางประเภทหากใช้อย่างเข้มข้นจะระคายเคืองผิวหนังได้ ฉะนั้น ก่อนใช้จะต้องเจือจางด้วยควมระมัดระวังเสียก่อน เช่น น้ำมันสกัดจากพริกไทยดำ ขิง มะนาว เป็ปเปอร์มินท์ ส้ม และตะไคร้
5. หากจะใช้น้ำมันสกัดกับเด็ก ควรลดปริมาณลงครึ่งหนึ่งจากสัดส่วนของ
 


Guerlain อาณาจักรแรก
แห่งน้ำหอม
Guerlain ได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1828 ณ กรุงปารีส เป็นการเริ่มยุคสมัยแห่งธุรกิจน้ำหอมอย่างแท้จริง ในวันนี้ Guerlain ถือเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำหอมที่ยิ่งยงตราบนานที่สุดของโลกความโดดเด่นที่ทำให้ทุกคนต้องจับตามอง Guerlain นั้นคือการเขย่าบัลลังก์อาณาจักรน้ำหอมของอังกฤษในยุควิคตอเรียน อดีตกาลนั้น การทำน้ำหอมของอังกฤษเกิดขึ้นจากแนวคิดเรียบง่าย น้ำหอมแนวกลิ่นเดียวจากหัวน้ำหอมชนิดเดียว ซึ่งมักได้จากน้ำสกัดจากดอกไม้เพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่น้ำหอมเหล่านี้จะไม่ค่อยให้ความรู้สึกเซ็กซี่ได้เท่าไหร่ น้ำหอมสุดฮิตของแผ่นดินอังกฤษย่อมเลี่ยงไม่พ้นกุหลาบกับลาเวนเดอร์ ซึ่งสุภาพสตรีทั้งหลายจะแตะพรมให้กลิ่นติดผ้าเช็ดหน้า หัวน้ำหอมต้องห้ามนั้นคือกลิ่นของ musk (ชะมด) รวมถึงการใช้น้ำหอมใดๆที่มีกลิ่นโน้มนำรัญจวนอารมณ์ให้ถวิลหาไปทางเพศ ทว่า Guerlain ได้หักล้างกฎเกณฑ์ทั้งปวง ด้วยการสร้างสรรค์กลิ่นหอมต่างๆ ขึ้นมาจากการสอดประสานแนวกลิ่นมากมายให้กลายเป็นกลิ่นหอมเดียวที่มีลำดับการพัฒนาของกลิ่น อย่างเช่นน้ำหอม Jicky ในปี ค.ศ. 1889 น้ำหอมกลิ่นที่ดูจะธรรมดา แต่พัฒนาตัวคลี่คลายสยายความรู้สึกเร้าอารมณ์บนผิวกายเมื่อเวลาผ่านไปสักสองสามชั่วโมง นอกจากนั้น บริษัทยังคัดสรรใช้เฉพาะส่วนผสมทรงคุณภาพ และคุณค่าโดยไม่ใส่ใจว่าจะหายากเพียงใด หรือสกัดกลั่นกรองได้ลำบากแค่ไหน รวมถึงการทำลายกำแพงกีดกั้นให้ประจักษ์ถึงสิ่งที่เป็นไปได้ และเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล สิ่งที่น่าตื่นเต้นของน้ำหอม Jicky นั้นก็คือ Jicky ไม่ใช่น้ำหอมที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรังสรรค์ธรรมชาติ แต่ Jicky ใช้ส่วนผสมใหม่อีกสองกลิ่น อันถือเป็นนวัตกรรมแห่งวงการน้ำหอมในยุคนั้น นั้นคือ coumarin และ vaillin ซึ่งนับเป็นกลิ่นหอมที่ทันสมัยมากในสมัยนั้น เป็นการเปิดโลกใหม่ อาณาจักรใหม่ของน้ำหอมอย่างแท้จริง ส่วน L’Heure Bleue อันชวนให้ดื่มด่ำเร้าใจในปี ค.ศ. 1912 นั้นก่อให้เกิดวังวนในบรรยากาศแห่งยุคแบ็ลล์ อีพ็อค (belle epoque) อย่างสมบูรณ์ (แบ็ลล์ อีพ็อคเป็นศิลปะในช่วงทศวรรษที่ 20 ถ้าคุณอยากรู้ถึงบรรยากาศเช่นนั่น ไปหาภาพยนตร์เรื่อง Titanic ซึ่งนำแสดงโดยลีโอนาร์โด เดอคาปริโอ กับ เคท วินเสล็ทมาดู ทุกอย่างในตัวเรือคือบรรยากาศศิลปะแห่งแบ็ลล์ อีพ็อค) และเมื่อน้ำหอม Mitsouko ออกมาปรากฎตัวในปี 1919 กลิ่นหอมท้าทายที่ได้จากเปลือกพีชสุก (ถือเป็นส่วนผสมที่ค้นพบขึ้นใหม่ในยุคนั้น) เป็นที่จับใจสุภาพสตรีในยุคหลังสงคราม ให้ความรู้สึกลึกซึ้งแห่งจิตวิญญาณศิลปะแบบ อาร์ต นูโว (Art Nouveau) ทว่า Shalimar กลับเป็นน้ำหอมอีกรูปการณ์อย่างสิ้นเชิง น้ำหอมกลิ่น Shalimar กลับเป็นน้ำหอมอีกรูปการณ์อย่างสิ้นเชิง น้ำหอมกลิ่น Shalimar เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1925 ในฐานะน้ำหอมกลิ่นคร่าใจชายให้ด่าวดิ้นสิ้นชีพไป ณ บัดดล น้ำหอมกลิ่นนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์ของฌาคส์ เกอร์แลง (Jacques Guerlain) ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบกลิ่นมาจากความรักของจักรพรรดิองค์ที่สามแห่งราชวงศ์มองโกลในอินเดียที่ทรงมีให้แก่พระชายาคือ พระนางมุมตัจ มาฮาล ทรงมีรับสั่งให้สร้างราชอุทยาน เพื่อเป็นบรรณาการแห่งพระนางในละฮอร์ อุทยานนี้มีชื่อว่าชาลิมาร์ (เมื่อพระนางมุมตัจ มาฮาล สิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้สร้างทัชมาฮาล์ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก ความอาลัยกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก) นี่คือกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกถึงความรัก ความเร่าร้อนยวนเสน่ห์ แฝงไว้ด้วยความอ่อนหวาน หวามไหว บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้นึกถึงศิลปกรรมโลกตะวันออก และนืคืออีกศักราชแห่งอาณาจักรของน้ำหอม
ในยุคนี้บรรดาผู้สร้างสรรค์น้ำหอมหรือกลิ่นหอมที่เรียกว่าเพอร์ฟูมเมอร์ต่างเป็นนายชะตาตัวเอง ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปอย่างงดงามด้วยการอุปถัมภ์ของบรรดาชนชั้นสูง สูงศักดิ์ สูงฐานะที่มีปัญญาจะสรรซื้อน้ำหอมของพวกเขาได้ พวกเขาสามารถผสมผสานผลงานใหม่ๆอันน่าจับตาขึ้นมาได้เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเกิดแรงบันดาลใจ หรือค้นพบส่วนผสมใหม่ๆขึ้นเพอร์ฟูมเมอร์บางคนทำงานเป็นศิลปินอิสระ บ้างก็เปิดร้านเล็กๆเป็นของตนเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเอกลักษณ์พิเศษของพวกเขา รวมถึงบุคลิกนิสัย และความชำนาญเฉพาะอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ฟรังซัวส์ โคตี้ (Francois Coty) ผู้ยิ่งใหญ่ จุดมุ่งหมายของเขาคือใช้ส่วนผสมสังเคราะห์ใหม่ๆ มาผลิตน้ำหอมคุณภาพดี ราคาเหมาะสมให้ซื้อหากันได้อย่างสบายๆในหมู่ชนชั้นกลางผู้มีฐานะดี น้ำหอม L’Origan ในปี ค.ศ. 1905 น้ำหอม Chypre ในปี 1917 และ L’Aimant ในปี 1927 กลายเป็นน้ำหอมคลาสสิกยอดนิยม เพราะแต่ละกลิ่นล้วนก่อให้เกิดอารมณ์ใหม่ที่แตกต่าง น้ำหอมที่มีกลิ่นเร้าอารมณ์เปิดเผย และไม่หรูหราเลิศลอยเกินเอื้อม นี่คือน้ำหอมสำหรับทุกคน ยิ่งไปกว่านี้ ฟรังซัวส์ โคตี้ เริ่มแนวทางการตลาด และการโฆษณาให้แก่ผลิตภัณฑ์น้ำหอมด้วยการเพิ่มภาพต่างๆที่แลเห็นเป็นตัวเป็นตนเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักรู้ถึงกลิ่นน้ำหอม


น้ำมันพื้นฐานจากผักและน้ำมันสื่อกลางอื่นๆ
น้ำมันคาเลนดูรา (Calendula Oil)
เป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ใช้เพื่อการรักษาบาดแผล แผลเป็น ไฟไหม้ การบวมและอาการบาดเจ็บอื่นๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยสร้างเนื้อเยื่อใหม่และเหมาะกับทุกสภาพผิว ใช้ได้ดีที่สุดเมื่อผสมกับน้ำมันสื่อกลางอื่นๆทั่วไปสำหรับการดูแลผิว


น้ำมันแคร์รอต (Carrot Oil)
ใช้ในการบำรุงและคืนความอ่อนเยาว์ สำหรับผิวที่มีริ้วรอยก่อนวัย ผิวแห้ง หรืออาการคันบริเวณผิวหนัง รวมทั้งการติดเชื้อที่เล็บ
ควรใช้เมื่อเจือจางในปริมาณต่ำเท่านั้น ในการผสมกับน้ำมันหรือครีมสื่อกลางอื่นๆ


น้ำมันจมูกข้าวสาลี (Wheat Germ Oil)
ใช้กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เหมาะมากสำหรับผิวมีริ้วรอย ผิวเหี่ยวย่น มีรอยแผลเป็นและมีรอยแตก ใช้เติมลงในน้ำมันสื่อกลางจากผัก (โดยใช้น้ำมันสื่อกลางจากผัก ในปริมาณที่น้อยกว่า ไม่เกิน ๑๕ เปอร์เซนต์)
เนื่องจากมีคุณสมบัติในการยับยั้งการรวมตัวของออกซิเจนในตัวเองอาจทำให้เกิดอาการแพ้ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้


น้ำมันโจโจบา (Jojoba Oil)
น้ำมันนี้มีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้นวดหรือการเสริมความงาม เหมาะกับทุกสภาพผิว รวมทั้งผิวมันและผิวเสีย ช่วยทำความสะอาดสิ่งอุดตันที่รูขุมขน ใช้ได้กับผิวที่อักเสบและระคายเคือง อาจนำมาใช้ในการปรับสภาพเส้นผมและใช้กันแดดแบบอ่อนๆตามธรรมชาติ
น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)
น้ำมันมะพร้าวนี้มี ๒ แบบด้วยกัน คือ
- น้ำมันมะพร้าวตามธรรมชาติ (Nature Oil)
- น้ำมันมะพร้าวผสม (Fractionated Oil)
ใช้เป็นน้ำมันพื้นฐานในปริมาณเล็กน้อย เพื่อเป็นน้ำมันสำหรับนวดเพราะง่ายต่อการดูดซึม หรือใช้เป็นสารหล่อลื่นทั่วไป แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ในการทำน้ำหอม โดยใช้เป็นน้ำมันสื่อกลางทั่วไปหรือเป็นสารประกอบเบื้องต้น


น้ำมันมะกอก (Olive Oil)
ใช้ได้ดีสำหรับผิวที่สูญเสียความชุ่มชื้นและผิวที่มีการระคายเคืองใช้เพื่อป้องกันและรักษาผิวที่มีรอยแตก ใช้กันแดดตามธรรมชาติ และใช้ปรับสภาพเส้นผม มักจะใช้ผสมกับน้ำมันพื้นฐานที่มีคุณสมบัติอ่อนกว่า


น้ำมันเมล็ดกุหลาบป่า (Rose Hip Seed Oil)
เหมาะมากในการนำมาใช้เป็นเครื่องสำอางเพื่อช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อและรักษาโรคผิวหนังอักเสบ โรคผิวหนังเรื้อรัง และใช้กับปัญหาประจำเดือนหมดในผู้หญิง (ช่วงประจำเดือนหมดในหญิงระหว่าง ๔๕-๕๐ ปี)


น้ำมันเมล็ดพืช (Peach Kernel Oil)
ใช้ในการดูแลรักษาความงามเป็นหลัก เพราะง่ายต่อการดูดซึมโดยเฉพาะผิวมีริ้วรอย ผิวแห้ง หรือผิวที่แพ้ง่าย และรอยเส้นเลือดดำ


น้ำมันเมล็ดองุ่น (Grape Seed Oil)
นิยมนำมาใช้เป็นน้ำมันพื้นฐานสำหรับนวด เพราะมีคุณสมบัติที่ทำให้รู้สึกสบายและมีกลิ่นอ่อน ใช้ได้ดีที่สุดเมื่อผสมกับน้ำมันสื่อกลางที่มีสรรพคุณในการบำรุงมากกว่าในการดูแลและรักษาผิวพรรณ
น้ำมันเมล็ดแอปปริคอต (Apricot Kernel Oil)
ใช้ในการดูแลรักษาความงามเป็นหลัก โดยเฉพาะผิวมีริ้วรอยก่อนวัย ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย และผิวอักเสบ และยังใช้เป็นน้ำมันนวดอย่างอ่อนได้ด้วย


น้ำมันอะโวคาโด (Avocado Oil)
น้ำมันอะโวคาโดที่ไม่ผ่านการสกัดนั้น จะใช้ในการสร้างเซลล์ผิวใหม่และมีคุณสมบัติในการบำรุงผิวค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับผิวแห้ง ผิวด้าน ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวมีริ้วรอยและโรคผิวหนังอักเสบ
ใช้ได้ดีที่สุดเมื่อผสมกับน้ำมันพื้นฐานที่มีคุณสมบัติอ่อนกว่า เช่น น้ำมันอัลมอนด์


น้ำมันอัลมอนด์ (Sweet Almond Oil)
ใช้เพื่อให้ความหล่อลื่น ความนุ่มนวล ความมีชีวิตชีวา และบำรุงผิว โดยเฉพาะผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายและผิวที่มีอาการระคายเคือง เป็นน้ำมันอ่อนปานกลางที่มีประโยชน์ เป็นน้ำมันสำหรับนวดหน้าหรือนวดตัวที่มีหน้าที่หลายอย่าง


น้ำมันอีฟนิงพริมโรส (Evening Primrose Oil)
มีประโยชน์ในการรักษาหลายอย่าง รวมทั้งโรคผิวหนังอักเสบ โรคผิวหนังเรื้อรัง และปัญหาประจำเดือนหมดในผู้หญิง (ช่วงประจำเดือนหมดในผู้หญิงระหว่าง ๔๕-๕๐ ปี) และยังให้ความชุ่มชื้นได้ดีสำหรับผิวแห้ง ผิวมีริ้วรอย หรือผิวมีรอยแตก


น้ำมันเฮเซลนัท (Hazel Nut Oil)
มีคุณสมบัติในการสมานผิวและดูดซึมได้ง่าย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวที่ติดเชื้อ มักจะใช้เจือจางกับน้ำมันสื่อกลางอื่น ๆ


คำแนะนำเพิ่มเติม
๑. โดยทั่วไปแล้วน้ำมันที่แนะนำในหนังสือเล่มนี้มีความปลอดภัยในการนำมาใช้ในการบำบัดด้วยกลิ่นและใช้ในครัวเรือน แต่ผู้ใช้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วย
๒. ในการใช้น้ำมันหอมระเหยชนิดใหม่ ควรตรวจดูผลกระทบข้างเคียงด้วย
๓. ห้ามรับประทานน้ำมันหอมระเหย เพราะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร และน้ำมันหอมระเหยบางชนิดยังมีพิษเมื่อรับประทานเข้าไป
๔. น้ำมันหอมระเหยที่แนะนำให้ใช้ในปริมาณน้อยนั้นเนื่องจากเมื่อผิวหนังดูดซึมมากเกินไปจะทำให้กลายเป็นพิษซึ่งมีดังต่อไปนี้คือ
- เมล็ดผักชี
- การบูรขาว
- ดอกตูมของกานพลู
- ลูกจันทร์เทศ
- ยี่หร่า
- เมล็ดผักชีฝรั่ง
- ไทม์
๕. ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยทาที่ผิวโดยตรง ยกเว้น ลาเวนเดอร์และทีทรี และควรปฏิบัติตามวิธีที่บอกไว้ในหนังสือเท่านั้น ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่ไม่ทำกิดอาการระคายเคือง เช่น มะลิ กระดังงา หรือไม้จันทร์ อาจนำมาใช้ทาผิวได้โดยตรงในรูปของน้ำหอม
๖. การทดสอบอาการแพ้ ก่อนที่จะใช้น้ำมันหอมระเหยชนิดใหม่ ๆ กับผิว ควรจะทดสอบอาการแพ้ก่อน โดยหยดน้ำมันหอมระเหยลงบนข้อมือ ๒ – ๓ หยด แล้วปิดพลาสเตอร์ทิ้งไว้ ๑ ชั่วโมง ถ้ามีอาการระคายเคืองหรือมีผื่นแดงเกิดขึ้น ให้ล้างออกด้วยน้ำเย็น สำหรับการใช้หลังจากนั้น ควรลดความเข้มข้นลงครึ่งหนึ่ง หรือหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันชนิดนั้น
๗. สำหรับผิวแพ้ง่าย การใช้น้ำมันทีทรีบริสุทธิ์อาจทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะผิวที่บอบบางมาก ดังนั้นก่อนใช้จึงควรเจือจางก่อนในครั้งแรก โดยใช้ครีมหรือเจลที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันแต่มีน้ำมันที่เมื่อเจือจางแล้วก็ยังเป็นอันตรายต่อผิวที่บอบบางเป้นพิเศษอยู่ คือ
  • กำยาน
  • ยูคาลิปตัส
  • เมลิสสา
  • และน้ำมันที่ทำให้ผิวระคายเคือง
๘. ผิวระคายเคือง น้ำมันที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะน้ำมันที่มีความเข้มข้นสูง ได้แก่
  • เมล็ดผักชี
  • โหระพา
  • พริกไทยดำ
  • เสม็ดขาว
  • การบูรขาว
  • ใบอบเชย
  • ดอกตูมของกานพลู
  • ขิง
  • จูนิเปอร์
  • มะนาว
  • ตะไคร้
  • เมล็ดผักชีฝรั่ง
  • สะระแหน่
  • สนเข็ม
  • ไทม์
ห้ามใช้เกิน ๓ หยดในการอาบน้ำ
๙. การมีพิษเมื่อโดนแสงแดด ก็คือ น้ำมันหอมระเหยที่ให้ผลตรงกันข้าม เมื่อใช้หลังจากโดนแสงแดด หรือแสงอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานาน ซึ่งได้แก่
  • รากแองเจลิกา
  • มะกรูด
  • มะนาวควาย
  • ส้มขม
  • มะนาว
  • เกรฟฟรุต
  • ส้มหวาน
  • ส้มเปลือกหนาหรือส้มจีน
๑๐. ทารกและเด็ก เมื่อใช้น้ำมันหอมระเหยกับทารกและเด็ก ควรทำให้เจือจางก่อนทุกครั้ง ในปริมาณที่แนะนำอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง สำหรับทารก ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองและเป็นพิษด้วยกัน
๑๑. หรับเด็กอ่อนอายุ ๐-๑๒ เดือน ควรใช้น้ำมันลาเวนเดอร์ กุหลาบ หรือคาโมมายล์ ในปริมาณ ๑ หยดเท่านั้น หรือใช้เจือจางกับน้ำมันสื่อกลางปริมาณ ๕ มล. (๑ ช้อนชา สำหรับการนวดหรือผสมน้ำอาบ) สำหรับเด็กในวัยนี้
๑๒. สำหรับเด็กอายุ ๑-๕ ขวบ ให้ใช้น้ำมันที่ไม่มีพิษและน้ำมันที่ไม่ทำให้ระคายเคือง  ๒-๓ หยด หรือเจือจางกับน้ำมันสื่อกลาง ๕ มล. (๑ ช้อนชา) สำหรับการนวดหรือผสมน้ำอาบ
๑๓. สำหรับเด็กอายุ ๖-๑๒ ปี ใช้ในปริมาณเท่ากับผู้ใหญ่ แต่ลดความเข้มข้นลงมาครึ่งหนึ่ง
๑๔. ผู้หญิงมีครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยที่ลดความเข้มข้นลงมาครึ่งหนึ่ง ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีความเป็นไปได้ว่ามีพิษหรือมีฤทธิ์เร่งประจำเดือน ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันต่อไปนี้ผสมกัน
  • โหระพา
  • เมล็ดขึ้นฉ่าย
  • กานพลู
  • ใบอบเชย
  • ตะไคร้หอม
  • มาโจแรม
  • เมอร์
  • ลูกจันทร์เทศ
  • ไทม์
น้ำมันที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วง ๔ เดือนแรกระหว่างตั้งครรภ์
  • รากแองเจลิกา
  • ยี่หร่า
  • กุหลาบ
  • โรสแมรี่
๑๕. ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันต่อไปนี้สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
  • โรสแมรี่
  • ไทม์
๑๖. สำหรับคนที่เป็นโรคลมชัก ลมบ้าหมู ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันต่อไปนี้
  • ยี่หร่า
  • โรสแมรี่

๑๗. การเก็บรักษาน้ำมันหอมระเหยผสมนั้น ควรเก็บไว้ในที่มืดและปิดฝาให้สนิท ควรเก็บให้ห่างจากแสงและความร้อน รวมทั้งควรเก็บให้ห่างจากมือเด็ก และควรติดฉลากให้เห็นชัดเจน


ที่มาจากหนังสือ
-สุคนธบำบัดและคุณประโยชน์จากเครื่องหอม-ศศวรรณ มงคลภาพ พิมครั้งที่ 1กรุงเทพฯ : มายิก, ค.ศ.2004 [2547]
-กลื่นหอมเร้าอารมณ์-กุลรัตน์ เรียบเรียง พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ : สมิต, 2542
-น้ำหอมเพื่อเรือนกายหอมกรุ่น-เจิดจรัส
พิมครั้งที่ 1กรุงเทพฯ : น้ำฝน, 2544.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้